ปลดล็อกประสิทธิภาพลับ เทคนิคออกแบบการทดลองจูนโมเดล NLP ที่คุณต้องรู้

webmaster

A focused female AI engineer, fully clothed in professional business attire, meticulously fine-tuning a natural language processing model on a large monitor in a modern, brightly lit data center. Her hands are precisely adjusting digital parameters, surrounded by abstract visualizations of clean, high-quality data. The scene emphasizes precision and expertise. Soft ambient lighting, professional photography, perfect anatomy, correct proportions, natural pose, well-formed hands, proper finger count, natural body proportions, safe for work, appropriate content, modest, family-friendly.

ในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) ที่ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง ผมเองก็สัมผัสได้ถึงความท้าทายและโอกาสอันน่าตื่นเต้นในการพัฒนาโมเดลเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด บางทีคุณอาจจะเคยรู้สึกเหมือนกันว่าการจะทำให้โมเดลของเราฉลาดและเข้าใจภาษามนุษย์ได้อย่างลึกซึ้งนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยใช่ไหมครับ/คะ?

มันเหมือนกับการค้นหาสูตรลับที่ลงตัวที่สุดท่ามกลางตัวแปรนับไม่ถ้วน และนี่แหละคือหัวใจสำคัญของการปรับจูนโมเดล รวมถึงวิธีการออกแบบการทดลองที่เป็นระบบที่ทุกคนควรให้ความสนใจมาทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้กันครับ/ค่ะ!

ในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) ที่ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง ผมเองก็สัมผัสได้ถึงความท้าทายและโอกาสอันน่าตื่นเต้นในการพัฒนาโมเดลเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด บางทีคุณอาจจะเคยรู้สึกเหมือนกันว่าการจะทำให้โมเดลของเราฉลาดและเข้าใจภาษามนุษย์ได้อย่างลึกซึ้งนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยใช่ไหมครับ/คะ?

มันเหมือนกับการค้นหาสูตรลับที่ลงตัวที่สุดท่ามกลางตัวแปรนับไม่ถ้วน และนี่แหละคือหัวใจสำคัญของการปรับจูนโมเดล รวมถึงวิธีการออกแบบการทดลองที่เป็นระบบที่ทุกคนควรให้ความสนใจ

ทำไมการปรับจูนโมเดลถึงสำคัญนักในโลก NLP

ปลดล - 이미지 1
ผมจำได้เลยว่าตอนที่เริ่มเข้ามาคลุกคลีกับวงการ NLP ใหม่ๆ ผมเคยคิดว่าการนำโมเดลสำเร็จรูปมาใช้ก็เพียงพอแล้ว แต่พอได้ลองทำจริงๆ จังๆ ได้สัมผัสกับข้อมูลที่หลากหลายและโจทย์ที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ผมก็ตระหนักได้ทันทีว่าการปรับจูนโมเดล (Fine-tuning) คือหัวใจสำคัญที่ไม่สามารถมองข้ามได้เลยครับ มันไม่ใช่แค่การ “จูน” เล็กๆ น้อยๆ แต่มันคือการ “ปรับ” โมเดลให้เข้าใจบริบทเฉพาะของข้อมูลเราได้อย่างถ่องแท้ เหมือนกับการที่เราได้สอนพิเศษให้กับนักเรียนเก่งๆ ให้เขาเก่งยิ่งขึ้นในวิชาที่เราต้องการเป็นพิเศษนั่นแหละครับ ถ้าเราไม่ปรับจูน โมเดลอาจจะให้ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจ เพราะมันไม่เคยเห็นข้อมูลในรูปแบบที่เราต้องการมาก่อน การลงทุนเวลาในการปรับจูนจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากๆ และส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของผลลัพธ์ที่เราจะได้รับ ผมเคยเห็นโปรเจกต์ดีๆ หลายโปรเจกต์ต้องสะดุดเพราะละเลยขั้นตอนนี้มาแล้ว มันน่าเสียดายจริงๆ ครับ

1. ความเฉพาะเจาะจงของโดเมนและภาษา

โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) ส่วนใหญ่ถูกฝึกบนชุดข้อมูลมหาศาลจากอินเทอร์เน็ต ทำให้มีความรู้ทั่วไปที่กว้างขวาง แต่เมื่อต้องนำมาใช้กับโดเมนเฉพาะทาง เช่น กฎหมาย การแพทย์ หรือแม้แต่ภาษาไทยที่มีสำเนียงหรือศัพท์เฉพาะ โมเดลเหล่านั้นอาจไม่สามารถให้ประสิทธิภาพสูงสุดได้ทันที ผมเคยเจอกับเคสที่ต้องสร้างแชทบอทสำหรับงานบริการลูกค้าของธนาคาร แล้วพบว่าโมเดลที่ไม่ได้ปรับจูนไม่เข้าใจคำศัพท์ทางการเงิน หรือประโยคคำถามที่ลูกค้าชอบใช้เลยแม้แต่น้อย มันทำให้ผมเห็นว่าการที่โมเดลจะเข้าใจบริบทเฉพาะทางได้อย่างลึกซึ้งนั้น จำเป็นต้องมีการป้อนข้อมูลและปรับพฤติกรรมให้เข้ากับโดเมนนั้นๆ โดยเฉพาะ ยิ่งถ้าเป็นภาษาไทยที่มีความซับซ้อนในเรื่องของไวยากรณ์และคำพ้องรูปพ้องเสียงด้วยแล้ว การปรับจูนยิ่งมีความสำคัญเป็นทวีคูณครับ

2. การปรับปรุงประสิทธิภาพและลดความผิดพลาด

การปรับจูนช่วยให้โมเดลสามารถเรียนรู้รูปแบบและความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนในชุดข้อมูลเฉพาะของเราได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผลลัพธ์มีความแม่นยำและเที่ยงตรงมากยิ่งขึ้น ลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้โมเดลที่ไม่ได้รับการปรับจูน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการทำ Sentiment Analysis หรือการวิเคราะห์ความรู้สึก ผมเคยใช้โมเดลที่ไม่ได้ปรับจูนมาลองวิเคราะห์รีวิวสินค้าไทย แล้วพบว่าโมเดลไม่สามารถแยกแยะประโยคประชดประชันหรือคำที่มีความหมายสองแง่สองง่ามได้เลย ซึ่งในภาษาไทยเราใช้บ่อยมาก แต่พอผมปรับจูนด้วยชุดข้อมูลรีวิวสินค้าภาษาไทยที่มีการติดป้ายกำกับความรู้สึกอย่างละเอียด ผลลัพธ์ที่ได้ก็แตกต่างราวฟ้ากับเหวเลยครับ มันทำให้ผมรู้สึกทึ่งในพลังของการปรับจูนจริงๆ

หัวใจของการตั้งสมมติฐาน: ก่อนจะลงมือปรับจูน

ก่อนที่เราจะกระโจนเข้าสู่การปรับจูนโมเดลอย่างบ้าคลั่ง สิ่งที่ผมทำเสมอและอยากแนะนำให้ทุกคนทำตามคือ “การตั้งสมมติฐาน” ครับ มันไม่ใช่แค่การคิดลอยๆ แต่มันคือการคาดการณ์อย่างมีเหตุผลว่าการเปลี่ยนแปลงอะไรจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของโมเดลอย่างไร การตั้งสมมติฐานที่ดีช่วยให้เรามีทิศทางในการทดลองที่ชัดเจน ไม่หลงทางไปกับการลองผิดลองถูกแบบไร้จุดหมาย ผมเคยพลาดไปกับการลองปรับพารามิเตอร์นั่นนี่ไปเรื่อยๆ โดยไม่มีแผน จนเสียเวลาไปเป็นอาทิตย์โดยไม่เห็นความคืบหน้าอะไรเลย นั่นเป็นบทเรียนราคาแพงที่ผมจำได้ขึ้นใจเลยครับ การมีสมมติฐานเหมือนมีแผนที่นำทางให้เรามุ่งไปสู่เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. การระบุปัญหาและเป้าหมายที่ชัดเจน

ก่อนอื่น เราต้องรู้ก่อนว่าปัญหาที่เราต้องการแก้ไขคืออะไร และเป้าหมายที่เราต้องการบรรลุคืออะไร โมเดลของเรามีข้อผิดพลาดอะไรบ้างที่ต้องปรับปรุง เช่น โมเดลจำแนกประเภทข้อความผิดพลาดบ่อยครั้งในหมวดหมู่บางประเภท หรือโมเดลสร้างข้อความที่ไม่สอดคล้องกันกับบริบท การระบุปัญหาที่ชัดเจนจะช่วยให้เราสามารถตั้งสมมติฐานที่ตรงจุด และออกแบบการทดลองที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหานั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ ผมมักจะเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ข้อผิดพลาดของโมเดลปัจจุบัน (Error Analysis) เพื่อหาจุดบกพร่องที่ชัดเจนที่สุด ก่อนที่จะคิดไปว่าอะไรคือสาเหตุและจะแก้ไขได้อย่างไร

2. การคาดการณ์ผลลัพธ์และเหตุผลสนับสนุน

เมื่อเราเข้าใจปัญหาแล้ว ขั้นต่อไปคือการคาดการณ์ว่า “ถ้าเราทำสิ่งนี้ จะเกิดอะไรขึ้น” และ “ทำไมถึงคิดเช่นนั้น” ตัวอย่างเช่น หากโมเดลของเรามีปัญหาในการแยกแยะความแตกต่างระหว่างคำที่มีความหมายใกล้เคียงกัน เราอาจตั้งสมมติฐานว่า “การเพิ่มชุดข้อมูลการฝึกที่เน้นตัวอย่างที่มีคำใกล้เคียงกัน จะช่วยให้โมเดลสามารถจำแนกความแตกต่างได้ดีขึ้น” พร้อมให้เหตุผลว่า “เพราะโมเดลจะมีโอกาสเรียนรู้บริบทและความสัมพันธ์ของคำเหล่านั้นมากขึ้น” การมีเหตุผลสนับสนุนจะช่วยให้เรามั่นใจในทิศทางการทดลอง และยังสามารถใช้เป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์ผลลัพธ์เมื่อการทดลองเสร็จสิ้นลงอีกด้วย

การเลือกชุดข้อมูล: รากฐานของความสำเร็จที่มองข้ามไม่ได้

ผมเชื่อเสมอว่า “Garbage In, Garbage Out” ครับ ในงาน NLP ชุดข้อมูลที่เราใช้ฝึกหรือปรับจูนโมเดลนั้นสำคัญยิ่งกว่าตัวโมเดลเสียอีก เพราะต่อให้โมเดลเราเก่งแค่ไหน ถ้าป้อนข้อมูลที่ไม่มีคุณภาพ ข้อมูลไม่หลากหลาย หรือข้อมูลไม่ตรงกับบริบทที่เราต้องการ โมเดลก็ไม่สามารถเรียนรู้และให้ผลลัพธ์ที่ดีได้ ผมเคยพลาดมาแล้วกับการใช้ชุดข้อมูลที่ “พอมี” แต่ไม่ “พอดี” ผลที่ได้คือโมเดลฉลาดในสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องการให้มันฉลาด หรือไม่ก็ฉลาดแบบผิดๆ ไปเลยครับ การลงทุนกับการเตรียมชุดข้อมูลที่ดีจึงไม่ใช่แค่การเสียเวลา แต่เป็นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนมหาศาล

1. คุณภาพและความหลากหลายของข้อมูล

ชุดข้อมูลที่มีคุณภาพหมายถึงข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่มีข้อผิดพลาด มีความสมบูรณ์ และที่สำคัญคือต้องมีความหลากหลาย ครอบคลุมสถานการณ์และบริบทต่างๆ ที่โมเดลจะต้องเจอในโลกจริง ผมมักจะใช้เวลาเยอะมากกับการทำความสะอาดข้อมูล (Data Cleaning) และการเพิ่มความหลากหลายของข้อมูล (Data Augmentation) เพราะผมเห็นมากับตาตัวเองว่าข้อมูลที่ดีคือปัจจัยที่ทำให้โมเดลก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ ได้ ตัวอย่างเช่น ในงานสร้างบทสนทนา (Dialogue Generation) ถ้าชุดข้อมูลของเรามีแต่ประโยคคำถาม-ตอบแบบตรงไปตรงมา โมเดลก็จะสร้างบทสนทนาที่แข็งทื่อ ไม่เป็นธรรมชาติ แต่ถ้าเราเพิ่มความหลากหลายของสำนวนการพูด รูปแบบประโยค หรือแม้แต่การแทรกอารมณ์ขันเข้าไปในชุดข้อมูล โมเดลก็จะสามารถสร้างบทสนทนาที่ดูเป็นมนุษย์มากขึ้นอย่างน่าประหลาดใจครับ

2. ขนาดและสมดุลของข้อมูล

ขนาดของชุดข้อมูลก็เป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งมีข้อมูลมากเท่าไหร่ โมเดลก็ยิ่งมีโอกาสเรียนรู้รูปแบบที่ซับซ้อนได้มากเท่านั้น แต่ก็ต้องไม่ลืมเรื่องความสมดุลของข้อมูลด้วยครับ โดยเฉพาะในงานจำแนกประเภท (Classification) หากชุดข้อมูลของเรามีความไม่สมดุล เช่น มีตัวอย่างของคลาส A มากกว่าคลาส B อย่างเห็นได้ชัด โมเดลอาจจะเอนเอียงไปทางคลาสที่มีข้อมูลมากกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการจำแนกคลาสที่มีข้อมูลน้อยลดลงอย่างมาก ผมเคยเจอเคสที่โมเดลมี Accuracy สูงมาก แต่พอไปดูดีๆ แล้วโมเดลทายคลาสส่วนใหญ่เป็นคลาสเดียวกันหมด เพราะคลาสนั้นมีข้อมูลเยอะที่สุด มันเป็นความแม่นยำที่หลอกตาจริงๆ ครับ การจัดการกับข้อมูลที่ไม่สมดุล (Imbalanced Data) ด้วยเทคนิคต่างๆ เช่น Oversampling, Undersampling หรือการใช้ Loss Function ที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเสมอ

เทคนิคการปรับจูนที่ผมใช้บ่อยๆ เพื่อดึงศักยภาพโมเดลออกมา

ตลอดเส้นทางที่ผมได้ทำงานกับโมเดล NLP มาหลากหลาย ผมได้ลองผิดลองถูกกับเทคนิคการปรับจูนมาเยอะมากครับ บางเทคนิคก็เวิร์คสุดๆ บางเทคนิคก็ไม่เหมาะกับโจทย์ที่ทำ แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าที่สอนให้ผมรู้จักโมเดลและข้อมูลดียิ่งขึ้น เทคนิคเหล่านี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัวนะครับ แต่เป็นแนวทางที่มักจะให้ผลลัพธ์ที่ดี และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการทดลองของคุณ และจากประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว ผมพบว่าการลองผสมผสานเทคนิคต่างๆ เข้าด้วยกัน บางครั้งก็ให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่าการใช้เทคนิคเดียวโดดๆ เสียอีกครับ

1. การปรับจูนแบบเต็มรูปแบบ (Full Fine-tuning)

นี่คือเทคนิคพื้นฐานที่สุดและมักจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยเฉพาะเมื่อมีชุดข้อมูลเฉพาะทางที่มีขนาดใหญ่พอสมควร เราจะนำโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่ถูกฝึกมาล่วงหน้า (Pre-trained LLM) มาปรับน้ำหนักทั้งหมดของโมเดล (All parameters) ด้วยชุดข้อมูลเฉพาะของเรา เทคนิคนี้มีข้อดีคือโมเดลสามารถปรับตัวเข้ากับโดเมนใหม่ได้อย่างเต็มที่ ทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด แต่ข้อเสียคือต้องใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ที่สูงมาก ทั้งในด้านหน่วยความจำ (GPU RAM) และเวลาในการฝึก ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับบางคนครับ ผมเองก็ต้องลงทุนกับการเช่า GPU แรงๆ เวลาที่จะทำ Full Fine-tuning เลยทีเดียว

2. การปรับจูนแบบประหยัดทรัพยากร (Parameter-Efficient Fine-tuning – PEFT)

เมื่อเรามีข้อจำกัดด้านทรัพยากร หรือชุดข้อมูลของเรามีขนาดไม่ใหญ่มาก เทคนิค PEFT เช่น LoRA (Low-Rank Adaptation) หรือ Prompt Tuning ก็เข้ามามีบทบาทสำคัญ เทคนิคเหล่านี้จะทำการปรับจูนเฉพาะพารามิเตอร์บางส่วน หรือเพิ่มพารามิเตอร์ขนาดเล็กเข้าไปในโมเดล แทนที่จะปรับจูนทั้งโมเดล ทำให้ประหยัดทรัพยากรได้อย่างมหาศาล และยังให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจมากๆ ในหลายๆ กรณี ผมใช้เทคนิค PEFT บ่อยมากเวลาที่ต้องปรับจูนโมเดลสำหรับโปรเจกต์ที่มีขนาดเล็กถึงกลาง หรือเมื่อต้องการทดลองหลายๆ การตั้งค่าเพื่อหาค่าที่เหมาะสมที่สุด เพราะมันช่วยลดเวลาในการทดลองได้เยอะมากๆ ครับ

3. การเรียนรู้แบบ few-shot/zero-shot (Few-shot/Zero-shot Learning)

ในบางสถานการณ์ที่เรามีข้อมูลสำหรับปรับจูนน้อยมากๆ หรือไม่มีเลย เราสามารถใช้เทคนิค Few-shot หรือ Zero-shot Learning ได้ โดยการให้ตัวอย่างเพียงไม่กี่ตัวอย่าง (few-shot) หรือไม่ต้องให้ตัวอย่างเลย (zero-shot) แต่ให้คำแนะนำ (Prompt) ที่ชัดเจนแก่โมเดล เทคนิคนี้อาศัยความสามารถในการเรียนรู้แบบ In-context Learning ของ LLMs ซึ่งเป็นความสามารถที่น่าทึ่งมากๆ ผมเคยใช้เทคนิคนี้ในการสร้างระบบตอบคำถามเบื้องต้นให้กับลูกค้าที่มีคำถามเฉพาะเจาะจงมากๆ โดยที่ไม่มีข้อมูลในส่วนนั้นเลย แต่ด้วยการออกแบบ Prompt ที่ดี โมเดลก็สามารถตอบคำถามได้อย่างถูกต้องและเป็นประโยชน์จริงๆ

การประเมินผล: เมื่อตัวเลขบอกเรื่องราวของโมเดล

หลังจากที่เราทุ่มเทปรับจูนโมเดลมาอย่างหนักหน่วง ขั้นตอนที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ “การประเมินผล” ครับ การประเมินผลไม่ใช่แค่การดูตัวเลข Metric ต่างๆ ว่าสูงหรือต่ำ แต่เป็นการทำความเข้าใจว่าโมเดลของเราทำงานได้ดีแค่ไหน เมื่อเทียบกับเป้าหมายที่เราตั้งไว้ และมันมีข้อผิดพลาดอะไรที่ยังต้องปรับปรุงอีกบ้าง การประเมินผลที่ดีจะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลว่าจะเดินหน้าต่ออย่างไร พัฒนาอะไรเพิ่มเติม หรือแม้กระทั่งรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะพอแล้ว และผมยึดถือเสมอว่าเราต้องเลือก Metric ที่เหมาะสมกับโจทย์ของเราจริงๆ ไม่ใช่แค่เลือก Metric ที่เราคุ้นเคยเท่านั้น

1. การเลือก Metric ที่เหมาะสมกับงาน

งาน NLP มีหลากหลายรูปแบบ และแต่ละรูปแบบก็มี Metric ที่เหมาะสมแตกต่างกันไป เช่น:

  • Accuracy, Precision, Recall, F1-score สำหรับงานจำแนกประเภท (Classification)
  • BLEU, ROUGE สำหรับงานแปลภาษา (Machine Translation) หรือสร้างข้อความสรุป (Text Summarization)
  • Perplexity สำหรับงานสร้างภาษา (Language Modeling)

ผมเคยเห็นหลายคนใช้ Accuracy เป็น Metric หลักสำหรับทุกงาน ซึ่งบางครั้งก็ไม่เหมาะสม เช่นในกรณีที่ข้อมูลไม่สมดุล Accuracy อาจจะสูงแต่ประสิทธิภาพของโมเดลจริงๆ อาจจะแย่มากในคลาสที่มีข้อมูลน้อย การทำความเข้าใจแต่ละ Metric และความเหมาะสมของมันต่อโจทย์ของเราจึงเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ครับ เราต้องเลือกเครื่องมือที่ใช่สำหรับงานที่ใช่เสมอ

2. การวิเคราะห์ข้อผิดพลาดเชิงลึก (Error Analysis)

นอกจากการดูตัวเลข Metric แล้ว การวิเคราะห์ข้อผิดพลาดเชิงลึกเป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญมากๆ ครับ มันคือการที่เราจะลงมือไปดูตัวอย่างที่โมเดลทำผิดพลาดจริงๆ เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไมมันถึงผิดพลาด เกิดจากข้อมูลชุดฝึกไม่เพียงพอ?

โมเดลตีความผิด? หรือคำถามไม่ชัดเจน? การวิเคราะห์เชิงลึกนี้จะช่วยให้เรามองเห็นปัญหาที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากตัวเลขเพียงอย่างเดียว และนำไปสู่การปรับปรุงโมเดลหรือชุดข้อมูลในรอบถัดไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผมเคยใช้เวลาหลายชั่วโมงกับการอ่านรีวิวที่โมเดลจัดประเภทผิด และพบว่าโมเดลไม่เข้าใจคำแสลงบางคำในภาษาไทย ซึ่งทำให้ผมรู้ว่าต้องไปหาข้อมูลคำแสลงเหล่านั้นมาเพิ่มเพื่อปรับปรุงโมเดลต่อไป

ตาราง: ตัวอย่างงาน NLP และ Metric การประเมินที่นิยม

ประเภทงาน NLP Metric การประเมินที่นิยม ข้อสังเกต
การจำแนกประเภทข้อความ (Text Classification) Accuracy, Precision, Recall, F1-score F1-score เหมาะสำหรับข้อมูลไม่สมดุล (Imbalanced Data)
การแปลภาษา (Machine Translation) BLEU (Bilingual Evaluation Understudy) วัดความคล้ายคลึงกับคำตอบอ้างอิง อาจไม่สะท้อนความเข้าใจเชิงความหมายทั้งหมด
การสร้างบทสรุป (Text Summarization) ROUGE (Recall-Oriented Understudy for Gisting Evaluation) เน้นวัดการทับซ้อนของ n-gram ระหว่างบทสรุปที่สร้างกับบทสรุปอ้างอิง
การสร้างข้อความ (Text Generation) Perplexity, BLEU, ROUGE (ใช้ได้บางบริบท) Perplexity วัดความน่าจะเป็นของประโยคที่โมเดลสร้างขึ้น
การตอบคำถาม (Question Answering) Exact Match (EM), F1-score EM: คำตอบต้องตรงเป๊ะ, F1: วัดการทับซ้อนของคำในคำตอบ

กับดักที่ต้องระวังในการออกแบบการทดลองและปรับจูนโมเดล

ผมเชื่อว่าทุกคนที่ทำงานกับ AI และ NLP ต้องเคยเจอ “กับดัก” เหล่านี้มาไม่มากก็น้อยครับ บางทีเราก็ทุ่มเทเวลาไปกับการปรับจูนอย่างเต็มที่ แต่กลับไม่เห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น หรือบางครั้งผลลัพธ์ก็ดีเฉพาะแค่ตอนทดสอบ แต่พอเอาไปใช้จริงกลับไม่เป็นอย่างที่คิด การเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองและของคนอื่นเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อที่เราจะได้ไม่เสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น และสามารถเดินหน้าได้อย่างมั่นใจ การระมัดระวังกับดักเหล่านี้ช่วยให้ผมประหยัดเวลาและทรัพยากรไปได้เยอะมากจริงๆ ครับ และยังช่วยให้ผมรู้สึกมั่นใจกับโมเดลที่สร้างขึ้นมาอีกด้วย

1. Overfitting และ Underfitting

นี่คือสองปัญหาคลาสสิกที่นักพัฒนาโมเดลทุกคนต้องเจอ Overfitting คือโมเดลเรียนรู้ข้อมูลชุดฝึกมากเกินไปจนไม่สามารถทำนายข้อมูลใหม่ที่ไม่เคยเห็นได้ดี ส่วน Underfitting คือโมเดลเรียนรู้ข้อมูลชุดฝึกน้อยเกินไปจนไม่สามารถเข้าใจรูปแบบในข้อมูลได้เลย การรักษาสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญ การตรวจสอบประสิทธิภาพบนชุดข้อมูลทดสอบ (Validation Set) และชุดข้อมูลที่ไม่เคยเห็นมาก่อน (Test Set) อย่างสม่ำเสมอ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจจับปัญหาเหล่านี้ ผมเคยพบว่าโมเดลทำคะแนนบนชุดฝึกได้ 100% แต่พอไปเจอข้อมูลจริงกลับพังไม่เป็นท่า นั่นแหละครับ Overfitting ตัวจริงเสียงจริง

2. การรั่วไหลของข้อมูล (Data Leakage)

การรั่วไหลของข้อมูลเป็นกับดักที่อันตรายมาก เพราะมันทำให้เราเข้าใจผิดว่าโมเดลของเราเก่งกว่าที่เป็นจริง เกิดขึ้นเมื่อข้อมูลจากชุดทดสอบ (Test Set) หรือชุดตรวจสอบ (Validation Set) หลุดเข้าไปในชุดฝึก (Training Set) ทำให้โมเดล “แอบ” เห็นคำตอบล่วงหน้า ผมเคยเจอเคสที่ข้อมูล Timestamp ในชุดฝึกและชุดทดสอบซ้อนทับกัน ทำให้โมเดลดูเหมือนจะเก่งมากๆ แต่จริงๆ แล้วมันแค่จำข้อมูลได้เท่านั้น ไม่ได้เรียนรู้ที่จะทำนายจริงๆ การแบ่งข้อมูลอย่างระมัดระวัง และการตรวจสอบความซ้ำซ้อนของข้อมูลในแต่ละชุดจึงเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ที่ต้องทำเสมอครับ

3. ไม่มีการควบคุมตัวแปรในการทดลอง

เหมือนกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ การปรับจูนโมเดลก็ต้องการการควบคุมตัวแปรที่ดี ถ้าเราเปลี่ยนหลายๆ อย่างพร้อมกันในการทดลองแต่ละครั้ง เราจะไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ผลลัพธ์เปลี่ยนไป ผมมักจะแนะนำให้เปลี่ยนทีละอย่าง (One Variable at a Time) เพื่อให้สามารถระบุได้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นส่งผลดีหรือผลเสียอย่างไร การจดบันทึกการทดลองอย่างละเอียด (Experiment Tracking) ว่าเราเปลี่ยนอะไรไปบ้าง ใช้พารามิเตอร์อะไร ชุดข้อมูลเวอร์ชันไหน และผลลัพธ์เป็นอย่างไร จะช่วยให้เราย้อนกลับไปดูและเรียนรู้จากความสำเร็จและความล้มเหลวได้อย่างมีระบบครับ

จากห้องทดลองสู่โลกจริง: การนำโมเดลไปใช้งานอย่างชาญฉลาด

หลังจากที่ทุ่มเทเวลาและแรงกายแรงใจในการปรับจูนและทดสอบโมเดลจนมั่นใจว่ามีประสิทธิภาพที่น่าพอใจแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่สำคัญไม่แพ้กันคือการนำโมเดลเหล่านั้นไปใช้งานจริงครับ การที่เราจะเห็นโมเดลที่เราสร้างขึ้นมาสามารถแก้ปัญหาในชีวิตจริงได้นั้น มันเป็นความรู้สึกที่น่าภูมิใจและเติมเต็มพลังใจอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ แต่การนำไปใช้งานจริงมันไม่ใช่แค่การ “Deploy” ขึ้นไปแล้วจบ แต่มันคือการเข้าใจบริบทของผู้ใช้งาน การดูแลรักษา และการพัฒนาต่อเนื่อง เพื่อให้โมเดลสามารถทำงานได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพในระยะยาว

1. การพิจารณาเรื่องประสิทธิภาพและทรัพยากรในการใช้งานจริง

ในห้องทดลอง เราอาจมีทรัพยากรคอมพิวเตอร์ที่เพียงพอ แต่เมื่อนำโมเดลไปใช้งานจริง โดยเฉพาะเมื่อต้องรองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก หรือต้องทำงานแบบ Real-time เราต้องพิจารณาเรื่อง Latency (ความหน่วง), Throughput (อัตราการประมวลผล) และ Cost (ต้นทุน) อย่างจริงจังครับ โมเดลที่เราปรับจูนมาอย่างดี อาจจะใหญ่เกินไป หรือใช้ทรัพยากรมากเกินไปสำหรับการใช้งานจริง ซึ่งอาจต้องพิจารณาใช้เทคนิคการลดขนาดโมเดล (Model Compression) เช่น Quantization หรือ Knowledge Distillation เพื่อให้โมเดลเล็กลงและทำงานได้เร็วขึ้นโดยไม่สูญเสียประสิทธิภาพมากเกินไป ผมเคยเจอปัญหาที่โมเดลทำงานได้ดีในตอนทดสอบ แต่พอเอาไปใช้จริงกับข้อมูลมหาศาลกลับประมวลผลช้ามากจนไม่สามารถรองรับการใช้งานได้ ทำให้ต้องกลับมาปรับปรุงเรื่องนี้ใหม่หมดเลย

2. การสร้าง Pipeline การทำงานและการตรวจสอบต่อเนื่อง

การนำโมเดลไปใช้งานจริงต้องมีการสร้าง Pipeline ที่รองรับการรับข้อมูล ประมวลผล และส่งผลลัพธ์กลับไปอย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญคือต้องมีการตรวจสอบประสิทธิภาพของโมเดลอย่างต่อเนื่องหลังจากที่นำไปใช้งานแล้ว โมเดลอาจเผชิญกับข้อมูลรูปแบบใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หรือข้อมูลในโลกจริงอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา (Data Drift) ทำให้ประสิทธิภาพของโมเดลลดลงได้ การมีระบบมอนิเตอร์และแจ้งเตือนเมื่อประสิทธิภาพโมเดลตกต่ำ (Model Degradation) เป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้เราสามารถเข้าแก้ไขและปรับปรุงโมเดลได้อย่างทันท่วงที ผมมักจะตั้งระบบแจ้งเตือนไว้เสมอ หาก Metric สำคัญๆ ของโมเดลเริ่มลดต่ำลง เพื่อให้ผมสามารถเข้าไปตรวจสอบและแก้ไขได้ทันที

แนวคิดการทำ A/B Testing ในงาน NLP เพื่อการตัดสินใจที่มีข้อมูลสนับสนุน

ผมเป็นคนที่เชื่อในพลังของข้อมูลครับ และการตัดสินใจที่อิงตามข้อมูลนั้นดีที่สุดเสมอ ในโลกของการพัฒนาโมเดล NLP การที่เราจะรู้ว่าโมเดลเวอร์ชันไหนดีกว่ากัน หรือการปรับเปลี่ยนอะไรจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า สิ่งที่ดีที่สุดคือการทำ A/B Testing เหมือนที่เราทำกับการทดสอบเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันนั่นแหละครับ การได้เห็นตัวเลขที่ยืนยันว่าสิ่งที่เราทำไปนั้นดีขึ้นจริงๆ มันเป็นอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจและภูมิใจในงานที่ทำมากๆ และช่วยลดความลังเลใจในการเลือกทางเดินต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. การแบ่งกลุ่มผู้ใช้งานและเปรียบเทียบผลลัพธ์

หลักการของ A/B Testing คือการแบ่งผู้ใช้งานออกเป็นสองกลุ่มหรือมากกว่านั้น โดยแต่ละกลุ่มจะได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างกัน เช่น กลุ่ม A ใช้โมเดลปัจจุบัน ส่วนกลุ่ม B ใช้โมเดลที่เราปรับปรุงใหม่ จากนั้นเราจะเก็บข้อมูลพฤติกรรมหรือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากแต่ละกลุ่ม เพื่อนำมาเปรียบเทียบทางสถิติว่าโมเดลเวอร์ชันใหม่ของเราดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ ตัวอย่างเช่น หากเราปรับปรุงโมเดลแชทบอท เราอาจให้ผู้ใช้ 50% คุยกับบอทเวอร์ชันเก่า และอีก 50% คุยกับบอทเวอร์ชันใหม่ แล้วดูว่าบอทเวอร์ชันใหม่ช่วยลดจำนวนครั้งที่ผู้ใช้ต้องเปลี่ยนไปคุยกับคน หรือเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้ได้จริงหรือไม่

2. การวิเคราะห์ทางสถิติและการตัดสินใจ

เมื่อเราเก็บข้อมูลได้เพียงพอแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวิเคราะห์ทางสถิติเพื่อดูว่าความแตกต่างที่เห็นนั้นเป็นผลมาจากโมเดลจริงๆ หรือเป็นแค่ความบังเอิญ เราจะใช้สถิติทดสอบ (Statistical Test) เพื่อหาค่า P-value และดูช่วงความเชื่อมั่น (Confidence Interval) เพื่อประกอบการตัดสินใจ หากผลลัพธ์ยืนยันว่าโมเดลเวอร์ชันใหม่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญ เราก็สามารถนำโมเดลนั้นไปใช้งานจริงกับผู้ใช้ทั้งหมดได้อย่างมั่นใจ การทำ A/B Testing ช่วยให้การตัดสินใจของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกหรือการคาดเดา แต่มีข้อมูลที่เป็นรูปธรรมสนับสนุนอยู่เบื้องหลังครับ

การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและการปรับตัวในโลก NLP ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง

ในฐานะคนที่อยู่ในวงการ NLP มาพักใหญ่ ผมบอกได้เลยว่าโลกนี้หมุนเร็วมากครับ เทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นแทบทุกวัน โมเดลใหม่ๆ ที่ฉลาดขึ้นก็เปิดตัวออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง ถ้าเราหยุดเรียนรู้และหยุดปรับตัว เราก็จะตามไม่ทันและล้าหลังไปอย่างรวดเร็ว การปรับจูนโมเดลและการออกแบบการทดลองก็เช่นกัน มันไม่ใช่ทักษะที่เราเรียนรู้ครั้งเดียวแล้วจะใช้ได้ตลอดไป แต่เป็นการเดินทางที่ต้องเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผมเองก็ยังต้องศึกษาค้นคว้า และทดลองสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้โมเดลที่ผมสร้างขึ้นมายังคงมีความสามารถในการแข่งขัน และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

1. การติดตามความก้าวหน้าของงานวิจัยและเทคโนโลยี

ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะติดตามข่าวสารและงานวิจัยใหม่ๆ ในวงการ NLP อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน Paper ใหม่ๆ จาก NeurIPS, ACL, EMNLP หรือการเข้าร่วมสัมมนาและเวิร์คช็อปต่างๆ การทำความเข้าใจแนวคิดใหม่ๆ โมเดลสถาปัตยกรรมใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งเทคนิคการปรับจูนที่เพิ่งค้นพบ จะช่วยให้เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานของเราได้ และบางครั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ เหล่านี้ก็สามารถช่วยแก้ปัญหาที่เราติดอยู่ได้โดยไม่คาดคิดเลยครับ ผมเคยอ่านเจอเทคนิคการปรับจูนแบบใหม่ที่เพิ่งถูกตีพิมพ์ แล้วนำมาลองใช้กับโมเดลที่กำลังพัฒนาอยู่ ปรากฏว่าได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในเวลาอันสั้น

2. การสร้างชุมชนและแบ่งปันประสบการณ์

การเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่นก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กันครับ การเข้าร่วมกลุ่มชุมชน NLP ทั้งในประเทศและต่างประเทศ การแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับเพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่การแบ่งปันความรู้ของเราเองผ่านบล็อกหรือการบรรยาย ก็เป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการพัฒนาตนเองและช่วยให้เรามองเห็นมุมมองใหม่ๆ ได้เสมอ การที่เราได้ปรึกษาหารือกับคนอื่นๆ ที่มีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน มักจะช่วยให้เราพบทางออกสำหรับปัญหาที่เราติดอยู่ได้ และยังสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานได้อีกด้วยครับ ผมเชื่อว่าการเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในหนังสือหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่ยังรวมถึงการเรียนรู้จากเพื่อนร่วมเส้นทางของเราด้วย

สรุปบทความ

ตลอดเส้นทางการทำงานในโลกของ NLP ผมได้เรียนรู้ว่าการปรับจูนโมเดลและการออกแบบการทดลองอย่างเป็นระบบนั้นเป็นหัวใจสำคัญอย่างแท้จริงครับ มันไม่ใช่แค่เรื่องของเทคนิค แต่เป็นเรื่องของการทำความเข้าใจข้อมูล ปัญหา และเป้าหมายของเราอย่างลึกซึ้ง การลงทุนในกระบวนการเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้โมเดลของเราฉลาดขึ้น แต่ยังช่วยให้เราประหยัดเวลาและทรัพยากรในระยะยาวอีกด้วย

สิ่งสำคัญที่สุดคือการไม่หยุดเรียนรู้และปรับตัว เพราะโลกของ AI นั้นก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วมากครับ หวังว่าประสบการณ์และแนวคิดที่ผมแบ่งปันในวันนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านในการสร้างสรรค์โมเดล NLP ที่มีประสิทธิภาพ และนำไปใช้งานจริงได้อย่างประสบความสำเร็จนะครับ ถ้ามีคำถามหรืออยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพิ่มเติม มาคุยกันได้เลยนะครับ!

ข้อมูลที่เป็นประโยชน์

1. Hugging Face Transformers Library: นี่คือไลบรารีที่ผมใช้บ่อยมากในการปรับจูนและใช้งานโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) มีโมเดลและเครื่องมือต่างๆ ให้เลือกใช้มากมาย ทำให้การทำงานง่ายขึ้นเยอะเลยครับ ลองศึกษาดูนะครับ

2. การทำ Data Annotation ที่มีคุณภาพ: ถ้าข้อมูลคือหัวใจของการปรับจูน การติดป้ายกำกับข้อมูล (Annotation) ที่ถูกต้องและสอดคล้องกันคือเส้นเลือดใหญ่ อย่ามองข้ามขั้นตอนนี้เด็ดขาดนะครับ

3. เครื่องมือติดตามการทดลอง (Experiment Tracking Tools): ลองใช้เครื่องมืออย่าง MLflow, Weights & Biases หรือ Neptune.ai เพื่อบันทึกการทดลอง พารามิเตอร์ และผลลัพธ์ต่างๆ ของโมเดล มันช่วยให้เราจัดการกับเวอร์ชันโมเดลและเปรียบเทียบผลลัพธ์ได้อย่างเป็นระบบมากๆ ครับ

4. การใช้ Cloud Computing สำหรับ GPU: หากทรัพยากรเครื่องไม่พอ การใช้บริการ Cloud อย่าง Google Cloud Platform (GCP), Amazon Web Services (AWS) หรือ Microsoft Azure ในการเช่า GPU ประสิทธิภาพสูงเพื่อปรับจูนโมเดล จะช่วยให้งานของเราเดินหน้าไปได้อย่างรวดเร็วครับ

5. เข้าร่วมชุมชน NLP/AI: การแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับผู้คนในวงการเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นผ่านกลุ่มใน Facebook, Discord, หรือเข้าร่วม Meetup ต่างๆ จะช่วยให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และพบแนวทางแก้ไขปัญหาที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อนครับ

ประเด็นสำคัญที่ต้องจำ

การปรับจูนโมเดล (Fine-tuning) คือหัวใจสำคัญในการทำให้โมเดล NLP มีประสิทธิภาพสูงสุดในบริบทเฉพาะ การตั้งสมมติฐานที่ชัดเจนจะช่วยนำทางในการทดลอง และชุดข้อมูลที่มีคุณภาพเป็นรากฐานของความสำเร็จเสมอ เลือกใช้เทคนิคการปรับจูนที่เหมาะสมกับทรัพยากรและขนาดข้อมูล ประเมินผลด้วย Metric ที่ตรงกับงาน พร้อมทำการวิเคราะห์ข้อผิดพลาดเชิงลึกเสมอ ระวังกับดักคลาสสิกอย่าง Overfitting, Underfitting และ Data Leakage สุดท้าย การนำโมเดลไปใช้งานจริงต้องพิจารณาเรื่องประสิทธิภาพและหมั่นตรวจสอบต่อเนื่อง การทำ A/B Testing ช่วยให้การตัดสินใจมีข้อมูลสนับสนุน และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องคือสิ่งจำเป็นในโลก NLP ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) 📖

ถาม: ทำไมการปรับจูนโมเดล (Fine-tuning) ถึงสำคัญนักครับ/คะ? มันต่างจากการแค่ยัดข้อมูลเข้าไปเยอะๆ ยังไง แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าควรปรับจูนตรงไหน?

ตอบ: โห… คำถามนี้โดนใจผม/ดิฉันมากเลยครับ/ค่ะ! ตอนแรกที่เริ่มทำด้านนี้ ผม/ดิฉันก็เคยคิดนะว่า “อ้อ แค่มีข้อมูลเยอะๆ ก็พอแล้วมั้ง?” แต่พอได้ลงมือทำจริงๆ เท่านั้นแหละครับ/ค่ะ ถึงได้รู้ว่ามันลึกซึ้งกว่านั้นเยอะเลย ลองนึกภาพแบบนี้ครับ/ค่ะ โมเดลภาษาที่ใหญ่ๆ อย่าง GPT ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ มันก็เหมือนกับเชฟฝรั่งมือหนึ่งที่เก่งรอบด้านนั่นแหละครับ/ค่ะ แต่ถ้าเราอยากให้เชฟคนนี้มาทำอาหารไทยให้อร่อยถูกปากคนไทยจริงๆ อย่าง แกงเขียวหวานรสจัดจ้าน หรือผัดกะเพราที่หอมกลิ่นควันกระทะ การแค่ยัดวัตถุดิบไทยเข้าไปเยอะๆ มันอาจจะยังไม่พอครับ/ค่ะ เราต้องสอนเขาให้เข้าใจ “รสชาติแบบไทยๆ” จริงๆ ว่าอะไรคือความเค็ม ความหวาน ความเผ็ดที่คนไทยคุ้นเคย ต้องให้เขาลองปรุง ลองชิม ลองปรับตามฟีดแบ็ก นั่นแหละครับ/ค่ะ คือการ Fine-tuning มันคือการปรับให้โมเดลที่มีความรู้พื้นฐานดีอยู่แล้ว มาเชี่ยวชาญเฉพาะทางในสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ทั้งสำนวน ภาษาพูด ภาษาเขียนแบบไทยๆ หรือแม้แต่ความเข้าใจในบริบททางวัฒนธรรม การปรับจูนจึงไม่ใช่แค่เรื่องปริมาณข้อมูล แต่เป็นเรื่องของ “คุณภาพ” และ “ความแม่นยำ” ครับ/ค่ะ ส่วนจะรู้ได้ไงว่าควรปรับจูนตรงไหน?
หลักๆ เลยคือดูจากเป้าหมายที่เราอยากให้โมเดลทำได้ครับ/ค่ะ ถ้าเป้าหมายคือตอบคำถามลูกค้า ลองดูว่าโมเดลตอบผิดตรงไหน ตอบไม่ครบหรือเปล่า หรือตอบแล้วลูกค้ายังต้องถามซ้ำ นั่นแหละครับ/ค่ะ คือจุดที่เราต้องเข้าไปจูน ไปเติมความรู้ให้ตรงจุด เหมือนกับการชิมอาหารแล้วบอกว่า “อืม… อันนี้ต้องเพิ่มพริกแกงหน่อยนะ!” ประมาณนั้นเลยครับ/ค่ะ

ถาม: อยากจะเริ่มออกแบบการทดลองแบบเป็นระบบสำหรับการพัฒนาโมเดลภาษาไทยบ้าง ต้องเริ่มจากตรงไหนครับ/คะ? เหมือนจะซับซ้อนไปหมดเลย

ตอบ: อื้ม… ผม/ดิฉันเข้าใจเลยครับ/ค่ะว่ามันดูซับซ้อนไปหมด เพราะตอนผม/ดิฉันเริ่มใหม่ๆ ก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน เหมือนจะออกไปเดินป่าแล้วไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน แต่จริงๆ แล้วมันมีหลักการที่ไม่ซับซ้อนครับ/ค่ะ ลองคิดง่ายๆ ว่าเรากำลังจะ “ทำการทดลองวิทยาศาสตร์” เล็กๆ ดูนะครับ/คะ
อย่างแรกเลยคือ “กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน” ครับ/ค่ะ เราอยากจะทดลองอะไร?
เช่น อยากรู้ว่าโมเดลไหนตอบคำถามภาษาไทยได้ดีที่สุด? หรือว่าวิธีแบ่งคำ (Tokenization) แบบไหนเหมาะกับภาษาไทยของเรามากกว่ากัน? พอมีเป้าหมายแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนที่สองคือ “กำหนดตัวแปร” ครับ/ค่ะ อะไรคือสิ่งที่เราจะลองเปลี่ยนในการทดลองนี้?
เช่น จะลองเปลี่ยน Pre-trained Model หรือจะลองเปลี่ยน Learning Rate? และอะไรคือสิ่งที่เราจะ “คงที่” ไว้ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้มันยุติธรรมที่สุด? อย่างเช่น ชุดข้อมูลที่ใช้ทดสอบควรเป็นชุดเดียวกันเสมอ
จากนั้นก็มาถึง “การเตรียมข้อมูล” ซึ่งสำหรับภาษาไทยนี่ถือเป็นหัวใจสำคัญเลยนะครับ/คะ เพราะภาษาไทยไม่มีช่องว่างระหว่างคำที่ชัดเจนเหมือนภาษาอังกฤษ การจะเตรียมชุดข้อมูลคุณภาพดี ที่แบ่งคำได้ถูกต้อง มีการกำกับข้อมูล (Annotation) ที่แม่นยำ นี่เป็นความท้าทายที่ต้องใช้ความอดทนสูงมากจริงๆ ครับ/ค่ะ ผม/ดิฉันเคยถึงขั้นต้องระดมกำลังเพื่อนมาช่วยกันนั่งกำกับข้อมูลทั้งวันก็มีมาแล้ว!
พอข้อมูลพร้อม ตัวแปรพร้อม ก็เริ่ม “ทำการทดลอง” ตามที่เราวางแผนไว้ แล้วก็ถึงขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “การวิเคราะห์ผล” ครับ/ค่ะ เราจะใช้ตัวชี้วัดอะไรมาตัดสินว่าผลลัพธ์มันดีขึ้นจริงไหม?
เช่น ค่า F1-score หรือ Precision/Recall แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการ “ตีความผล” ครับ/ค่ะ ลองคิดถึงสถานการณ์จริงที่ผู้ใช้จะเอาไปใช้ดูว่ามันดีขึ้นจริงรึเปล่า ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนกระดาษ เพราะบางทีคะแนนสูงลิ่ว แต่ผู้ใช้บอกว่า “ไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ก็มีบ่อยไปครับ/ค่ะ

ถาม: การปรับจูนโมเดลและการออกแบบการทดลองเนี่ย มีปัญหาหรือข้อผิดพลาดอะไรที่เรามักจะเจออยู่บ่อยๆ แล้วมีวิธีรับมือยังไงบ้างครับ/คะ โดยเฉพาะกับภาษาไทย?

ตอบ: โห… อันนี้เหมือนโดนเอาประสบการณ์ตรงมาเล่าเลยครับ/ค่ะ! ปัญหาที่เจอเนี่ย สารพัดสารพันจริงๆ ครับ/ค่ะ โดยเฉพาะกับภาษาไทยนี่มีอะไรให้ท้าทายเยอะเลยนะ
หนึ่งในปัญหาคลาสสิกเลยคือ “ข้อมูลไม่พอ หรือคุณภาพไม่ดีพอ” ครับ/ค่ะ โดยเฉพาะถ้าโมเดลเราต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น ภาษาอีสานที่ใช้ในบางบริบท หรือศัพท์เฉพาะทางในอุตสาหกรรมบางประเภท บางทีข้อมูลในอินเทอร์เน็ตก็หาไม่ได้จริงๆ ครับ/ค่ะ ทางแก้ที่ผม/ดิฉันเคยใช้คือพยายาม “สร้างข้อมูลสังเคราะห์” (Data Augmentation) หรือไป “หาแหล่งข้อมูลที่ไม่เป็นทางการ” เช่น กลุ่มเฟซบุ๊กเฉพาะทาง หรือเว็บบอร์ดเก่าๆ แล้วนำมาประมวลผลเพิ่ม และอีกวิธีคือการใช้ “Transfer Learning” ที่ดีอยู่แล้วเป็นฐาน แล้วค่อยๆ สอนข้อมูลใหม่เข้าไปทีละนิด
อีกอย่างที่เจอบ่อยคือ “โมเดลฉลาดเกินไป หรือไม่ฉลาดพอ” หรือที่เรียกว่า Overfitting กับ Underfitting ครับ/ค่ะ เหมือนทำอาหารแล้วปรุงจัดไป หรือจืดชืดเกินไปนั่นแหละครับ/ค่ะ Overfitting คือโมเดลจำข้อมูลที่เราสอนไปได้หมดเป๊ะ จนตอบคำถามที่ไม่เคยเห็นไม่ได้เลย ส่วน Underfitting คือเรียนรู้ได้ไม่ดีพอ วิธีแก้ก็คือต้อง “ปรับจูนพารามิเตอร์” อย่าง Learning Rate ให้เหมาะสม หรือใช้เทคนิคเช่น Regularization เพื่อไม่ให้โมเดลจำแม่นเกินไป และต้อง “หมั่นตรวจสอบประสิทธิภาพบนชุดข้อมูลที่ไม่เคยเห็น” (Validation Set) อยู่เสมอครับ/ค่ะ
และปัญหาเฉพาะกับภาษาไทยที่เจอบ่อยมากๆ ก็คือ “ความกำกวมของคำ” ครับ/ค่ะ บางคำเขียนเหมือนกันแต่ความหมายต่างกัน ขึ้นอยู่กับวรรณยุกต์หรือบริบท เช่น “ไก่” ที่หมายถึงสัตว์ กับ “ไก่” ที่หมายถึงการพนัน หรือการที่ “ไม่มีช่องว่างระหว่างคำ” ทำให้การแบ่งคำเป็นเรื่องยากมากๆ ครับ/ค่ะ ทางแก้คือต้องใช้ “Pre-trained Tokenizer สำหรับภาษาไทยโดยเฉพาะ” ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างดี และอาจจะต้อง “เพิ่มข้อมูลตัวอย่างที่ครอบคลุมความหลากหลาย” ของการใช้คำเหล่านั้นเข้าไปด้วยครับ/ค่ะ
สุดท้ายคือ “การวัดผลที่ผิดพลาด” ครับ/ค่ะ บางทีโมเดลอาจจะทำคะแนนบนตัวชี้วัดได้ดีเยี่ยม แต่พอเอาไปใช้จริง ผู้ใช้กลับบอกว่า “นี่มันพูดอะไรของมันเนี่ย?” หรือ “ตอบไม่ตรงคำถามเลย” ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการ “ให้คนจริงมาช่วยประเมินผล” (Human Evaluation) ครับ/ค่ะ และ “เก็บฟีดแบ็กจากผู้ใช้งานจริง” มาปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ เหมือนเราเปิดร้านอาหารแล้วต้องคอยถามลูกค้าว่ารสชาติถูกปากไหมนั่นแหละครับ/ค่ะ เจอแบบนี้บ่อยๆ จะได้ไม่ท้อนะครับ สู้ๆ ครับ/ค่ะ!

📚 อ้างอิง